เมื่อวานนี้ (28 พ.ค. 67) นายสาธิต คำหน่อแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลสันปูเลย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และนายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ หัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย ร่วมกันลงพื้นที่บ้านสันทุ่งใหม่ ตำบลสันปูเลย ที่เกิดเหตุโรงงานพลุและดอกไม้ไฟระเบิด เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 24 ก.ค. 66 เพื่อติดตามสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของบ้านเรือนและผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงจุดเกิดเหตุที่มีจำนวนทั้งสิ้น 38 หลังคาเรือน ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันเจ้าของบ้านที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิดดังกล่าวและต้องซ่อมแซมบ้านยังไม่ได้รับการชดเชยเยียวยาใดๆ จากทางโรงงานที่เกิดเหตุ โดยมีเพียงทางเทศบาลตำบลสันปูเลยที่จัดสรรงบประมาณให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนเกินและอื่นๆ นั้นทางเจ้าของบ้านต่างต้องแบกรับภาระกันเอง
ทั้งนี้ นายกเทศมนตรีตำบลสันปูเลยเปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อตรวจเยี่ยมเจ้าของบ้านผู้ประสบภัยจากเหตุโรงงานพลุดอกไม้ไฟระเบิด ที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันที่จุดเกิดเหตุยังคงอยู่ในสภาพเป็นซากปรักหักพัง ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายนั้น ส่วนใหญ่กลับเข้าอยู่อาศัยได้ตามปกติแล้ว เพราะทางเทศบาลฯ ได้จัดสรรงบประมาณเป็นเงินทั้งสิ้นราว 1 ล้านบาทให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนให้เบื้องต้นตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งหลายคนต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพิ่มเติมอีกเพื่อซ่อมแซมบ้านให้สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโรงงานที่เกิดเหตุนั้น จากการสอบถามปรากฏว่ายังไม่เคยจ่ายเงินรับผิดชอบค่าเสียหายและเยียวยาใดๆ ให้ผู้ประสบเหตุเลย ซึ่งทางเทศบาลฯ กำลังเตรียมพิจารณาหาทางดำเนินการช่วยเหลือเรียกร้องความเป็นธรรมและรักษาสิทธิที่พึงจะได้รับให้ผู้ประสบเหตุทุกรายต่อไป
ขณะที่นายบุญญฤทธิ์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือว่าน่าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเหตุโรงงานพลุดอกไม้ไฟระเบิดที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นข่าวใหญ่โตและสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่จนถึงทุกวันนี้ทางเจ้าของโรงงานที่เกิดเหตุกลับยังไม่ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาและชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ผู้ประสบเหตุเลยแม้แต่น้อย โดยมีเพียงทางเทศบาลฯ ที่ได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบความเดือดร้อนให้ผู้เสียหายเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นหารือกับทางเทศบาลฯ และแนะนำให้ผู้เสียหายรวมตัวกันเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีตามกฎหมายต่อเจ้าของโรงงานที่เกิดเหตุ เพื่อให้รับผิดชอบและชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยตัวเองพร้อมจะติดตามความคืบหน้ากรณีนี้อย่างใกล้ชิดให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและเป็นกรณีตัวอย่าง
ด้านเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดกับจุดเกิดเหตุเปิดเผยว่า เพิ่งซ่อมแซมบ้านที่ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหลังจนเสร็จ โดยทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยเหมือนเดิม แต่มีความจำเป็นจึงได้ย้ายกลับเข้ามาอยู่เมื่อประมาณ 1 เดือนที่แล้ว หลังจากที่ในช่วงก่อนหน้านี้ต้องพาครอบครัวย้ายไปขออาศัยอยู่บ้านญาติที่อยู่ห่างจากบ้านและที่ทำงานระยะทางห่างไปกว่า 30 กิโลเมตร ซึ่งแม้จะไม่เสียค่าเช่า แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตตามปกติอย่างมาก ในส่วนของค่าใช้จ่ายซ่อมแซมบ้านนั้น เนื่องจากบ้านของตัวเองทำประกันภัยไว้ ดังนั้นทางบริษัทประกันจึงเป็นผู้รับผิดชอบตามวงเงินประกัน แต่ไม่เพียงพอและตัวเองต้องจ่ายเงินเพิ่มไปอีกประมาณ 200,000 บาท โดยที่ในส่วนของโรงงานที่เกิดเหตุนั้นยังไม่เคยจ่ายเงินรับผิดชอบค่าเสียหายและเยียวยาใดๆ เลยแม้แต่น้อย โดยมีเพียงทางเทศบาลฯ ที่ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งยอมรับว่าจากเหตุที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองและครอบครัวอย่างมาก รวมทั้งยังหวาดผวากับเหตุที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หากเป็นไปได้อยากให้เจ้าของโรงงานที่เกิดเหตุมาแสดงความรับผิดชอบเยียวยาให้ผู้ประสบเหตุทุกราย