จากกรณีที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ขณะนี้ ปมการแต่งตัวไปรเวทและย้อมสีผมไปเรียน ซึ่งมีหลายฝ่ายออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว มีทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย ล่าสุดได้มีคุณครู ท่านหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ภาพ เด็กนักเรียน ในโรงเรียนที่ตนสอน ได้มีการใส่ชุดไปรเวท และ ชุดนักเรียน มาในวันเดียวกัน พร้อมข้อความระบุว่า
ข้อความยาวนะคะ และขอความกรุณาไม่ดราม่าใดๆ นะคะ ไม่เกี่ยวกับการเมืองค่ะ
จากภาพนี้ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เห็นอะไรกันบ้างคะ
– เห็นคนแต่งไปรเวท 10 คน
– เห็นความเป็นตัวตนของคน 11 คนจากเสื้อผ้าที่แต่ละคนสวมใส่
– เห็นความหล่อของทั้ง 11 คนจากด้านหลังของพวกเขา
– เห็นความสุขกระจายอยู่ในใบหน้าของทั้ง 11 คน
– ฯลฯ
เพื่อนๆทาง FB ของเราส่วนใหญ่ น่าจะทราบดีว่าทุกๆ วันอังคาร เด็กๆ ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ สามารถใส่ขุดไปรเวท มาเรียนหนังสือได้ ข้อปฏิบัตินี้มีมาประมาณสัก 3-4 ปีได้แล้ว ตอนที่โรงเรียนจะเริ่มทำ มีความกังวลและคำท้วงติงจากผู้เกี่ยวข้องมาจากหลายภาคส่วน โดยทางโรงเรียน ‘took every comment and remark into consideration and finally chose to cautiously and carefully took a step forward’
นับจากวันอังคารแรกที่นักเรียนเริ่มแต่งชุดไปรเวทมาโรงเรียนจนถึงวันนี้ เราพบว่าเราได้ประโยชน์จากข้อปฏิบัตินี้หลายอย่าง
ขออนุญาตยกตัวอย่างประโยชน์ที่เราเห็นชัดเจนอย่างหนึ่งคือ เราได้เห็นและได้รู้จักเด็กแต่ละคนมากขึ้น ได้เห็นความเป็นปัจเจกของพวกเค้าผ่านรสนิยมการแต่งกาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ สำหรับคนที่เป็นครู จะรู้ดีว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยพวกเราในการพัฒนาเด็กให้ได้เต็มตามศักยภาพของแต่ละคน
เมื่อ 2-3 วันก่อน เห็นเด็กๆ และเพื่อนครูแชร์เพจที่พูดถึงการแต่งไปรเวทวันอังคารของโรงเรียนเราโดยไปขุดข่าวเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ตั้งแต่วันอังคารแรกที่เด็กๆ ใส่ชุดไปรเวทมาโรงเรียน และเขียนย้ำว่าการแต่งไปรเวทของนักเรียนต้องใช้เงินถึงสามแสนบาท ซึ่งข้อเท็จจริงคือค่าเสื้อผ้าแค่หลักร้อยหลักพันแต่เป็นนาฬิกาที่มีราคาเกือบสามแสน เราว่าการสื่อแบบนี้ เป็นการสื่อสารที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์และหวังให้ผู้อ่านเข้าใจผิด เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เด็กๆ ที่โรงเรียนบางคนใส่นาฬิการาคาแพงมาโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นวันแต่งชุดนักเรียนหรือชุดไปรเวทก็ตาม เราในฐานะครูฐานะโรงเรียนไม่อาจบังคับให้เด็กๆ ทำตามใจตามความต้องการของเรา แต่ละครอบครัวมีความคิด ความเชื่อ และมีหลักปฎิบัติต่างกันไปตามกรอบและเงื่อนไขของครอบครัวนั้นๆ และถ้ากรอบและเงื่อนดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบในทางลบต่อนักเรียนคนอื่นๆ หรือต่อโรงเรียน เราเชื่อว่าการก้าวล่วงกรอบหรือเงื่อนไขนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราในฐานะครูควรทำ
‘There’s no one best practice.’ ไม่รู้ใครกล่าวไว้ แต่ที่เขียนมาซะยืดยาวไม่ได้ต้องการจะบอกว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดี ไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าการแต่งชุดไปรเวทมาโรงเรียนเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่แต่ละคนแต่ละองค์กรควรทำหรือมีสิทธิ์ที่จะทำคือ เลือกปฏิบัติในสิ่งที่เชื่อว่าดีว่าเหมาะสมกับตนกับองค์กรของตน แค่นั้นจริงๆ
มีหลายคนถามว่ากรุงเทพคริสเตียนจะทำอย่างไรหากเกิดกรณีแบบน้องนักเรียนปีนเข้าโรงเรียนที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ เราถามตนเองและคุยกับเพื่อนครูที่โรงเรียนหลายท่าน ได้คำตอบไปในทางเดียวกันว่าสำหรับโรงเรียนเราแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาและเกือบไม่น่าจะมีโอกาสลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตเลย ลูกศิษย์ของเราจะเดินเข้ามาในโรงเรียนได้อย่างสง่าผ่าเผย เราจะรับฟังความคิดความต้องการของเค้า จะพยายามหาข้อมูลว่าเค้าอยากสื่ออะไรถึงพวกเรา พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน เพื่อให้ทั้งเค้าและเรา ‘ทั้งนักเรียนและครู อยู่ในโรงเรียนร่วมกันได้อย่างมีความสุข’
#สปิริตเดียวกันสำคัญมั่นกว่า
ที่มา ไทยนิวส์ออนไลน์