เงินแทบไม่เหลือ ครูวัยเกษียณร้องสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ลดดอกเบี้ยเงินกู้

สมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวยื่นหนังสือถึง คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ตาม ครม.ที่ประกาศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา หลังสมาชิกที่ส่วนใหญ่เป็นครูวัยเกษียณ ประสบปัญหาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูง ทำให้ไม่มีเงินใช้ บางรายคิดสั้นฆ่าตัวตายเพื่อจะได้เงินมาให้คนในครอบครัวมาใช้จ่าย

นายวินัย สังขวรรณะ ประธาน สมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยสมาชิกสมาพันธ์ฯซึ่งสวนใหญ่เป็นครูวัยเกษียณอายุราชการ รวมตัวยืนชูป้ายร้องขอความเป็นธรรม ที่สำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ พร้อมกับยื่นหนังสือให้กับ คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ให้พิจารณาลดดอกเบี้ยให้กับสมาชิก สหกรณ์ ต่อมา นายสมาน เผือกอ่อน รองประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ได้เดินทางมารับหนังสือจากตัวแทนสมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ พิจารณาข้อเรียกร้องในการช่วยเหลือสมาชิก

ด้านนายวินัย สังขวรรณะ ประธาน สมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี มีมติลงวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีหนังสือถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ได้เพิกเฉยตลอดมา ขณะที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอื่น ๆ ทยอยลดดอกเบี้ยลง

ต่อมาสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่พึ่งมีมติลดดอกเบี้ยลงมา 10 สตางค์ ต่อปี จากดอกเบี้ย เงินกู้ 5.40 % เป็น 5.30 % ต่อปี ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี และ หนังสือของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่มีถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ที่ให้ลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.75 % ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขจากการคำนวณว่าดอกเบี้ยประมาณดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับสหกรณ์ฯและสมาชิกและผู้กู้เงิน ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ มีผลกำไรสุทธิ ต่อปีสูง ซึ่งผลกำไร มาจากดอกเบี้ยเงินกู้ของสมาชิกผู้กู้ เป็นหลัก และสมาชิกผู้กู้เหล่านี้ ก็ได้เป็นผู้เสียดอกเบี้ยมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีจนสหกรณ์เติบโต มีความพร้อมทั้งเรื่องอาคารสถานที่ เรื่องเงินทุนสำรองและค่าตอบแทนและโบนัสกรรมการและเจ้าหน้าที่ปีละหลายล้านบาท ก็ควรที่จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีหนังสือมาถึงสหกรณ์ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู จึงขอให้สหกรณ์ 1.พิจารณาลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีหนังสือ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566 และตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2566 คือลดดอกเบี้ยลงมาที่ 4.75% ต่อปี โดยเร็ว และ 2.ขอให้คณะกรรมการดำเนินการ พิจารณาขยายโครงการปรับสร้างหนี้หรือรวมหนี้ออกไปและ ประกาศหลักเกณฑ์ให้สมาชิกทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้โอกาสแก่สมาชิกที่ยังไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ทุกคน โดยไม่ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะสมาชิกที่ลงทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาเท่านั้น เพราะสมาชิกทุกคน ควรมีสิทธิในความเป็นสมาชิกที่จะได้รับสิทธิทุกโครงการที่สหกรณ์จัดทำขึ้น

ทั้งนี้ ข้อเสนอที่เสนอต่อคณะกรรมการ ทั้ง 2 ข้อ เป็นข้อเสนอที่ตั้งอยู่บนหลักความเป็นเหตุและ ความเป็นผลทั้งหมด เพราะขณะมีสหกรณ์ออมทรัพย์ครูบางแห่งที่กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ได้ดำเนินการก็ประกาศลด์ดอกเบี้ย ลงมาที่ 4.75 ต่อปี จากดอกเบี้ย 5,50 % ต่อปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าลดดอกเบี้ยลงมา ถึง 75 สตางค์ ต่อปีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 และยังมีสหกรณ์ออมทรัพย์อีกหลายแห่งที่ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปที่ 4.50 % ต่อปีแต่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงใหม่ ซึ่งมีเงิน ที่ไม่ต้องกู้ยืมจากสหกรณ์อื่นมาดำเนินการ และยังมีเงินให้สหกรณ์อื่นกู้ยืมเงินไปดำเนินการ แต่ประกาศลดดอกเบี้ยลงมา เพียง 10 สตางค์ จึงไม่สมเหตุสมผล และยังเป็นภาระให้กับผู้กู้ที่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยที่สูงต่อไป จึงขอให้สหกรณ์ดำเนินการ ตามที่นำเสนอโดยด่วน เพื่อให้กลุ่มครูลูกหนี้ได้ผ่อนคลายและมีเงินเหลือที่พอชำระหนี้ได้มากขึ้น

ประธานมาพันธ์ครูลูกหนี้ 4 ภาค จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่สหกรณ์ฯได้ลดดอกเบี้ยลงมา 10 สตางค์ ต่อปี ไม่มีผลต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ของครูเลยเนื่องจากยังเป็นดอกเบี้ยที่สูงอยู่ ที่ผ่านมากลุ่มครูวัยเกษียณหลายคนต้องประสบปัญหาอย่างหนักจากการถูกหักเงินบำนาญเป็นจำนวนมากซึ่งตามกฎหมายให้สหกรณ์สามารถหักเงินจากสมาชิกได้ร้อยล่ะ 70 ของรายรับ แต่สหกรณ์กลับหักเงินบำนาญรายเดือนที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ทำให้ครูบางคนแทบไม่เหลือเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน บางรายเหลือเงินใช้เพียง 500-1,000 บาทเป็นต้น ทำให้สมาชิกสหกรณ์กลุ่มที่เป็นครูเกษียณได้รับความเดือดร้อนไม่ต่ำกว่า 1 พันราย

จากการณีดังกล่าวมีครูเกษียณผู้ชายรายหนึ่งตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตายเมื่อปี 2563 เนื่องจากถูกหักเงินบำนาญรายเดือนเพื่อนำไปจ่ายค่างวดให้สหกรณ์ จนไม่เหลือเงินใช้จ่ายทุกเดือน จนเจ้าตัวต้องหันไปยืมเพื่อนมาใช้จ่าย และหวังว่าจะได้เงินปันผลเฉลี่ยคืนมาใช้หนี้ให้เพื่อนแต่กลับถูกสหกรณ์หักเงินจำนวนดังกล่าวนำไปใช้หนี้ที่คงค้าง ทำให้เจ้าตัวคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตายเพื่อหวังงจะได้เงินฌาปนกิจ และเงินอื่นจากการเสียชีวิตมาชำระหนี้ที่คงค้าง เนื่องจากกลัวว่าจะถูกฟ้องยึดทรัพย์สินเกรงคนในครับครัวจะไม่มีที่อยู่และต้องการเงินมาให้คนในครอบครัวได้ใช้ ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือได้เขียนบันทึกสั่งเสียให้กับญาติๆว่าหากเสียชีวิตแล้วให้ไปดำเนินการเบิกเงินที่ไหนเป็นขั้น เป็นตอนอย่างละเอียด

ขณะที่มีอดีตคุณครูผู้หญิงวัย 66 ปีรายหนึ่ง เล่าว่า ตนเกษียณอายุราชการได้ 6 ปี ทำให้เงินเดือนลดลงกว่าครึ่งจึงยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้แต่ได้รับกานปฏิเสธเนื่องจากมีชื่ออยู่ในกลุ่มเรียกร้องไม่ให้สหกรณ์หักเงิน 30 เปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนนำไปชำระหนี้ ซึ่งทุกวันนี้ได้เงินบำนาญเฉลี่ยเดือนล่ะ 3.3 บาท จ่ายค่างวดให้สหกรณ์ 2.6 หมื่นบาท และค่างวดรายเดือนจากสถาบันการเงินอื่นๆ อีกรวมเป็นเงิน 6 หมื่นบาท ทำให้เงินเดือนติดลบไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท จนต้องขายที่ดินเพื่อนำเงินมาผ่อนจ่ายค่างวด หากสหกรณ์ฯจะช่วยลดดอกเบี้ยให้สมาชิกก็จะทำให้ค่างวดรายเดือนลดลง ซึ่งจะบรรเทาความลำบากให้กับตนเองและสมาชิกคนอื่นเป็นอย่างมาก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า