แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โพสต์ขายกระทงอาหารปลาในโซเชี่ยล แม่ค้าอาหารทะเลหลงกลติดต่อซื้อเพื่อจะนำมาขายช่วงลอยกระทง ถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีม้า แต่ไม่ได้สินค้า จึงไปแจ้งอายัดบัญชีม้า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลบหลัง อ้างเป็นตำรวจไวเบอร์ ขอตรวจสอบบัญชีธนาคารผู้เสียหาย อ้างบัญชีม้าที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าพัวพันธุกิจมืดก่อนหลอกผู้เสียหายโอนเงินเช้าบัญชีกลางตรอบสอบเส้นทางการเงิน รู้ตัวสูญเงินเกือบล้าน บางส่วนเป็นเงินสินเชื่อจากธนาคาร ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงิน 2 หมื่นกว่าบาท
นางสาวนุช นามสมมุติ แม่ค้าอาหารทะเลแช่แข็ง ชาวอำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ นำเอกสานสำเนาสลิปโอนเงิน รูปหน้าเพจ และรูปข้อความแชท เข้าแจ้งความกับ พันตำรวจโทสุเทพ กล่ำใย สารวัตรสอบสวน กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 จ.เชียงใหม่ หลังจากเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นางสาวนุช เล่าว่าตนได้ติดต่อซื้อกระทงอาหารปลา จากผู้ใช้เพจเฟสบุ๊คที่ชื่อเฮียวิน วัตถุโบราณ ขายส่งชิ้นล่ะ 20 บาทและได้โอนเงินเข้าบัญชีชื่อว่านายนพ นามสมมุติทั้งหมด 2,085 บาท ซึ่งจากการสนทนาผ่านแชท ทราบว่าจะส่งของให้นางสาวนุชฯวันถัดไป ต่อมาผู้ที่ใช้เพจเฟสบุ๊คที่ชื่อเฮียวิน วัตถุโบราณ ได้เลื่อนส่งสินค้าวันที่ 4 พฤศจิกายน แต่ก็ไม่มีการส่งสินค้ามาให้ นอกจากนี้ยังถูกผู้ใช้เพจเฟสบุ๊ค รายดังกล่าวบล็อกเฟส และบล็อกโปรไฟล์ นางสาวนุชฯจึงทำการแจ้งอายัดบัญชีธนาคารที่ได้โอนเงินไปให้และได้แจ้งความออนไลน์ไปยังตำรวจไซเบอร์
ต่อมามีผู้ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ติดต่อสอบถามมาที่นางสาวนุชฯ ถึงความคืบหน้ากรณีที่ได้แจ้งอายัดบัญชีธนาคารมิจฉาชีพพร้อมกับระบุว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้จับกุมตัว นายนพฯ เจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าวขณะกำลังกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ายอดเงินจากนางสาวนุชฯโอนเงินให้บัญชีธนาคารดังกล่าวเป็นคนสุดท้าย นอกจากนี้ยังได้อ้างว่านายนพฯ ได้ซัดทอดว่านางสาวนุชฯได้ว่าจ้างให้นายนพฯ เปิดบัญชีม้า บุคคลที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ ขอตรวจสอบบัญชีธนาคารของผู้เสียหายทั้ง 3 บัญชีโดยระบุว่าจะมีการอายัดเงินในบัญชีทั้งหมดประมาณ 3-6 เดือนเพื่อตรวจสอบ แต่ถ้าหากมางสาวนุชฯมีหลักฐานการแชทติดต่อซื้อขายกระทงจริงก็ให้ยื่นๆแสดงกับเจ้าหน้าที่ภายหลัง
แต่นางสาวนุชระบุว่าเงินก้อนดังกล่าวเป็นเงินที่ใช้หมุนในร้านค้า ชายคนดังกล่าวจึงแจ้งกับนางสาวนุชฯ บอกว่าขอตรวจสอบบัญชีธนาคารใช้เวลาไม่นานแต่เจ้าหน้าที่จะให้ธนาคารกลางเป็นผู้ตรวจสอบ โดยให้นางสาวนุชฯโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกลางตรวจสอบแต่ว่าสเตทเมนท์ธนาคารจะหายไป 3 เดือนย้อนหลัง ซึ่งนาวสาวนุชฯ ไม่ตกลงเนื่องจากต้องใช้สเตทเมนท์ ในการซื้อรถคันใหม่ เพื่อมาค้าขาย ชายคนดังกล่าวจึงแจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ขออายัดบัญชีทั้งหมดไว้ตรวจสอบซักครู่ แล้วก็มีการให้แอดไลน์ หน้าจอเป็นรูปสัญลักษณ์ตำรวจไซเบอร์ แล้วถามว่าบัญชีธนาคารมีกี่บัญชี เธอจึงตอบว่ามีทั้งหมด 3 บัญชี ออมสิน ไทยพานิชย์ กสิกร แล้วให้โยกเงินทั้งหมดไปไว้ที่บัญชีธนาคารไทยพานิชย์ ชายคนดังกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่จะเริ่มอายัดบัญชีธนาคารออมสิน และกสิกร ต่อมานางสาวนุชฯได้โยกเงินไปบัญชีธนาคารไทยพานิชย์ และพบว่ามีการอายัดบัญชีธนาคารออมสิน และกสิกรและมีข้อความ SMS จากธนาคารทั้งสองแห่งว่าอายัดบัญชีธนาคารส่งมา จึงทำให้เชื่อว่าชายคนดังกล่าวเป็นตำรวจไซเบอร์จริงจึงได้โอนเงินไปบัญชีธนาคารที่ชายคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นบัญชีกลางรวมเป็นเงิน 996,801.04 บาท ต่อมาชายคนดังกล่าวยังได้สอบถามว่ามีเงินในบัญชีอื่นอีกหรือไม่ และเริ่มเอะใจว่าให้เติมเงินระบบเลยรู้ตัวว่าถูกหลอก
นางสาวนุช กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินที่โอนไปให้มิจฉาชีพทั้งหมดรวมเป็นเงิน 988,883 บาท แบ่งเป็นค่ากระทงอาหารปลา 2,085 บาท เป็นเงินเก็บในบัญชีธนาคารประมาณ 6 หมื่นบาท ที่เหลือ 9 แสนบาทเป็นเงินสินเชื่อหรือ OD จากธนาคาร เงินส่วนนี้ตนจะต้องคืนให้กับธนาคารไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายเฉพาะค่าดอกเบี้ยถึงเดือนล่ะ 2 หมื่นบาททำให้ขณะนี้ตนกับครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก แถมไม่พอหลังเกิดเหตุกลุ่มมิจฉาชีพได้โทรศัพท์มาเยาะเย้นถากถางสารพัด จนทำให้ตนและคนในครอบครัวต่างก็เกิดความเครียดกันทั้งบ้าน