พะเยา – ปิดกันให้แซ่ด..ตร.พะเยา รายงานระบุชัด นายตำรวจระดับ “พ.ต.ท.-รอง ผกก.โรงพักใหญ่”กับเมีย ร่วมแก๊งฉ้อโกงร้านทองดัง ตุ๋นเงินสด-ทองรูปพรรณ/ทองแท่ง ข้ามปี เสียหายร่วม 230 ล้านบาท พบพฤติกรรมเหมือนพลิกตำราหลอกทั้งซึ่งหน้า-ตามแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ผกก.สภ.เมืองพะเยา ได้รายงานเหตุสะเทือนขวัญคดีอุกฉกรรจ์ และเหตุที่ต้องรายงานด่วน ที่ ตช ๐๐๒๐.๖๕(ส)/๒๘๕๑ ถึง ผบ.ตร.(ผ่าน ศปก.ตร.) รอง ผบ.ตร.-ผู้ช่วย ผบ.ตร.-ผบช.ภ.5-รอง ผบช.ภ.5 ตลอดจนผู้ว่าฯ-ผบก.ภ.พะเยา และรอง ลงวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ตามคดีอาญา ค. ๒๗๗ /๒๕๖๗ – ปจว. ลงวันที่ 27 พ.ค.67 ข้อกล่าวหา ” ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นอื่น ” ต่อเนื่องกันตั้งแต่เดือนกันยายน 65-16 พ.ค.67
คดีดังกล่าวเกิดขึ้น หลังนางอรพิมพ์ อายุ 69 ปี ผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพงส.สภ.เมืองพะเยา เมื่อ 28 พ.ค.ว่าเมื่อประมาณเดือนกันยายน 65 น.ส.ปรายฟ้า ซึ่งรู้จักและสนิทสนมกัน เนื่องจากเคยนำทองรูปพรรณ, กระเป๋าถือ และ นาฬิกาโรเล็กซ์ (ตรวจสอบภายหลังเป็นของปลอม) มาจำนำที่ร้านทองของผู้เสียหายหลายครั้ง โดยมากับสามีและได้แนะนำสามีเป็นนายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” มีตำแหน่งเป็นรอง ผกก.โรงพักแห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา ทำให้น่าเชื่อถือ ได้ชักชวนให้นำเงินไปล่อยกู้ที่หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา จะได้ดอกเบี้ยดีและใช้เวลาไม่นาน
ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงตกลงและมอบเงินสด-โอนเงินเข้า บัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี นายมารุต ตามที่ น.ส.ปรายฟ้าแจ้งไว้ จำนวนหลายครั้ง หลังจากนั้น น.ส.ปรายฟ้า ได้ร่วมกับพวก ทำการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
1.เดือนตุลาคม 65 น.ส.ปรายฟ้า และ “พ.ต.ท.” สามี ได้มาขอกู้เงินผู้เสียหายจำนวน 2,000,000 บาท โดยนำโฉนดที่ดินมาค้ำประกัน แต่ไม่ได้ตรวจสอบโฉนดที่ดินว่าเป็นของใครเพราะไว้วางใจกัน จึงโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี พ.ต.ท.คนดังกล่าว รวม 1,700,000 บาท แล้วไม่ได้เงินคืน ภายหลังน.ส.ปรายฟ้า มาอ้อนวอน อ้างเหตุผลต่างๆนานาขอโฉนดที่ดินคืน จึงหลงเชื่อและมอบโฉนดที่ดินและสัญญากู้เงินคืนไป
2.น.ส.ปรายฟ้า แจ้งว่า บัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ ของนายมารุต ที่โอนเงินเข้า ถูกเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.อายัด ให้โอนเงินเข้าบัญชีใหม่ เป็นธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นายมารุต ผู้เสียหายจึงโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหลายครั้ง
3. น.ส.ปรายฟ้า ชักชวนให้ผู้เสียหายนำทองรูปพรรณและทองแท่งไปจำหน่ายที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา จะได้ดอกเบี้ยดี จึงหลงเชื่อและได้มอบทองรูปพรรณและทองแห่งให้ น.ส.ปรายฟ้า ไปจำนวนหลายครั้ง รวมน้ำหนักทองทั้งหมด 260 บาท แล้วไม่ได้เงินหรือทองคืน
4.น.ส.ปรายฟ้า แจ้งว่า เงินในบัญชีของ นายมารุต ทุกบัญชี ถูก ป.ป.ง.อายัด ให้เปลี่ยนบัญชีเป็นของ ธ.ออมสิน ชื่อบัญชี น.ส.จีรารัตน์ ผู้เสียหายจึงโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหลายครั้ง
5.มีคนชื่อ น.ส.รัตติยา อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. แจ้งผู้เสียหายว่าเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ต้องโอนเงินเข้าบัญชีของนายมารุต อีกครั้ง เพื่อให้มีการหมุนเวียนของเงินในการทำธุรกิจและต้องนำทองรูปพรรณไปตรวจสอบที่ ป.ป.ง.เพื่อยืนยันว่าได้ทำธุรกิจร้านทองจริง ผู้เสียหายจึงโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหลายครั้ง
6.น.ส.ปรายฟ้า แจ้งว่า ป.ป.ง. ทำการตรวจสอบทองรูปพรรณเสร็จแล้ว และได้ช่วยเหลือ จะให้ทองแท่งกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. 3 คนๆละ 10 บาท โดยจะรับผิดชอบคนละครึ่ง แต่ขอให้ผู้เสียหายออกไปก่อน จึงมอบทองแท่งน้ำหนัก 30 บาท ให้ น.ส.ปรายฟ้า ไป
7.น.ส.รัตติยา ที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. แจ้งว่าจะต้องเอาทองรูปพรรณและทองแท่ง ไปทำการตรวจสอบเพิ่มเพิ่ม ผู้เสียหายจึงมอบทองรูปพรรณและทองแท่งให้กับ น.ส.ปรายฟ้า รวมน้ำหนักทองทั้งหมด 450 บาท และ น.ส.ปรายฟ้า ยังแจ้งว่าต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. อีก จึงโอนเงินให้อีกหลายครั้ง และยังมอบเงินสดให้ไปด้วย ซึ่ง น.ส.ปรายฟ้า และ น.ส.รัตติยา แจ้งว่าเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะคืนเงินและทองให้ผู้เสียหาย
8.น.ส.รัตติยา ต้องการซื้อทองจากผู้เสียหายไปจำหน่าย จึงส่งทองรูปพรรณให้จำนวนหลายครั้ง รวมน้ำหนักทอง 151 บาท โดยไม่ได้เงินรับเงินแต่อย่างใด
9.ผู้เสียหายได้พูดคุยกับ น.ส.ปรายฟ้า กรณีศาลจังหวัดพะเยา ได้พิพากษายกฟ้องคดีที่ผู้เสียหายกับพวกยื่นฟ้องเรื่องทรัพย์สินมรดกในเครือญาติ ต่อมามีคนซื่อ น.ส.จิระประภา ไม่ทราบนามสกุล อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.เป็นหัวหน้า น.ส.รัตติยา แจ้งว่าสามารถช่วยเหลือคดีให้ชนะได้ แต่มีค่าใช้จ่าย จึงโอนเงินให้จำนวนหลายครั้งและยังได้มอบเงินสดและทองรูปพรรณให้ น.ส.ปรายฟ้าฯ เอาไปให้ด้วย
10.ผู้เสียหายให้ น.ส.ปรายฟ้า ไปยืมเงินผู้อื่นเพื่อเอาไปใช้คืนนายนพดล ที่ผู้เสียหายไปยืมมาก่อน โดยให้โอนให้นายนพดล ไปเลย ต่อมา น.ส.รัตติยา-น.ส.จิระประภา ติดต่อมาหาผู้เสียหายแจ้งว่าภรรยานายนพดลถูกจับคดีค้าอาวุธสงคราม ที่ จ.แพร่ ทำให้ผู้เสียหายและลูกสาว เกี่ยวข้องด้วย จะต้องจ่ายเงินค้ำประกันและวิ่งเต้นคดี จึงโอนเงินให้หลายครั้ง และยังมอบทองรูปพรรณและเงินสดให้ น.ส.ปรายฟ้า ไปช่วยดำเนินการด้วย
11.น.ส.จิระประภา แจ้งว่าสามารถเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินที่ฟ้องร้องกัน เป็นชื่อของสามีผู้เสียหายได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย จึงโอนเงินให้จำนวนหลายครั้ง
12.น.ส.รัตติยา และ น.ส.จิระประภา แจ้งว่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดทั้งหมดทั้งที่ ป.ป.ง.และที่ธนาคาร จะออกแล้วพร้อมดอกเบี้ย แต่จะได้ดอกเบี้ยก่อน ขณะไปถอนเงินดอกเบี้ย ได้ขับรถไปชนผู้อื่นตาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้คนตายและตำรวจ จำนวน 3,000,000 บาท จึงโอนให้ไปอีก
13.น.ส.ปรายฟ้า แจ้งว่ากองปราบปรามได้ส่งหนังสือไปที่คอนโดของ น.ส.ปรายฟ้า ที่กรุงเทพฯ แต่ไม่รับทำให้มีความผิด ต้องถูกปรับ 3,700,000 บาท จึงโอนเงินให้ไปอีก
14.ผู้เสียหายให้ น.ส.ปรายฟ้า นำทองรูปพรรณ น้ำหนัก 15 บาท ไปจำนำนำที่ร้านทอง อ.ดอกคำใต้ เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ต่อมา น.ส.จิระประภา ติดต่อมาหาว่า เจ้าของร้านทองถูกจับยาเสพติด ทำให้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ต้องจ่ายเงินวิ่งคดี จึงโอนเงินให้ไปอีก
15.น.ส.จิระประภา แจ้งให้ผู้เสียหายส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปให้ น.ส.ปรายฟ้า เพื่อจะมอบให้ น.ส.นวรัตน์ ไปทำเรื่องคืนทรัพย์สิน.โฉนดที่ดิน ที่สำนักงาน ป.ป.ง. ศาล และ ต้องถ่ายภาพรถขนทรัพย์สินขณะนำส่งให้ ผู้เสียหาย โดยต้องมีค่าใช้จ่าย จึงโอนเงินให้หลายครั้ง
16.น.ส.จิระประภา แจ้งว่า ผู้เสียหายเคยไปยืมเงินของ น.ส.สุรีรัตน์ ไปประกันตัว และ น.ส.สุรีรัตน์ ถูกจับคดีหมูเถื่อนจึงเกี่ยวข้องด้วย ต้องจ่ายเงินวิ่งคดี จึงโอนเงินให้หลายครั้ง
17.น.ส.รัตติยา แจ้งว่าต้องจ่ายเงินประกันรถขนทรัพย์สินที่จะเอามาส่งให้ผู้เสียหาย เนื่องจากรถออกจาก ป.ป.ง.เกินเวลา และ มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย จึงโอนเงินให้ครั้ง
18.น.ส.จิระประภา แจ้งว่า ฝรั่งที่เคยยืมเงินมาจำนวน 950,000 บาท เดินทางมาประเทศไทย และต้องการเอาเงินคืน ซึ่งเงินอยู่ที่ ป.ป.ง. และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย จึงโอนเงินให้หลายครั้ง
19.ผู้เสียหายได้ขายทองรูปพรรณเก่าให้นายนพดล ไป ต่อมามี น.ส.รัตติยา และ น.ส.จิระประภา ติดต่อมาหา แจ้งว่าภรรยานายนภดลฯ ยังมีคดียาเสพติดเดิมอยู่ ทำให้เกี่ยวข้องด้วย ต้องจ่ายเงินวิ่งคดี จึงโอนเงินให้อีกหลายครั้ง
20.น.ส.จิระประภา แจ้งว่า ต้องจ่ายเงินค่ามัดจำโฉนดที่ดินที่ศาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงโอนเงินให้หลายครั้ง
หลังจากนั้น ผู้เสียหายได้ติดตามทวงถามทรัพย์สินคืนจาก น.ส.ปรายฟ้า, น.ส.รัตติยา,น.ส.จิระประภา มาโดยตลอด ได้รับแจ้งว่า จะได้รับทรัพย์สินคืนภายใน 1-2 วัน แต่พอครบกำหนดก็ไม่ได้รับคืน และเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ และในวันที่ 16พฤษภาคม 67 น.ส.ปรายฟ้า ยังได้ชวนผู้เสียหาย นั่งรถเพื่อไปรับเงินที่สำนักงาน ป.ป.ง.กรุงเทพฯ ด้วย แต่ผู้เสียหายเกิดความกลัวจะไม่ปลอดภัย จึงไม่ตกลง
และเมื่อปรึกษาลูกชาย จึงเชื่อว่าถูก น.ส.ปรายฟ้า กับพวก ร่วมกันหลอกลวงเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปทั้งเงินสด และทองคำแท่ง ,ทองคำรูปพรรณได้ความเสียหาย รวมทั้งสิ้นประมาณ 228,807,300บาท จึงร้องทุกข์และมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ปรายฟ้า แสงแก้ว กับพวก ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นคนอื่น ตามกฎหมาย
พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน พบคนร้ายหรือผู้เกี่ยวข้องประมาณ 8 คน คือ 1น.ส.ปรายฟ้า อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ ต.แม่กา อ.เมืองพะเยา 2. “พ.ต.ท.”นายตำรวจที่เป็นรอง ผกก.โรงพักแห่งหนึ่งในพะเยา 3.นายมารุต อายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ อ.เมืองพะเยา 4.น.ส.ปิยะธิดา อายุ 33 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน 5.น.ส.จิรารัตน์ อายุ 31 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ ต.แม่คำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย 6.น.ส.นวรัตน์ อายุ 33 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี 7.น.ส.จิระประภา ไม่ทราบนามสกุล-ที่อยู่ อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. และ 8.น.ส.รัตติยา ไม่ทราบที่อยู่ อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ ปปง.
ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน 67 ยื่นต่อศาลจังหวัดพะเยา อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ได้แก่ 1.น.ส.ปรายฟ้า ตามหมายจับที่ จ.๘๕/๒๕๖๗ 2.นายมารุต ตามหมายจับที่ จ.๘๖/๒๕๖๗ 3.น.ส.ปิยะธิดา ตามหมายจับที่ จ.๘๗/๒๕๖๗ 4.น.ส.นวรัตน์ ตามหมายจับที่ จ.๘๘/๒๕๖๗ 5.น.ส.จิรารัตน์ ตามหมายจับที่ จ.๘๙/๒๕๖๗
รุ่งขึ้น 5 มิ.ย.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายมารุต หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับได้ที่บ้านพัก และ 6 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม น.ส.ปิยะธิดา ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ที่บ้านพัก พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหากับ “พ.ต.ท.” รอง ผกก.สภ.แห่งหนึ่ง ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์