แชร์ว่อน “ภาพนักท่องเที่ยวชาวจีน” ไม่อายฟ้าดิน ฝ่ายหญิงแก้ผ้าล่อนจ้อน จับฝ่ายชายถอดเสื้อ-ขึ้นคร่อม คล้ายจะเล่นจ้ำจี้โจ๋งครึ่ม กลางลานจอดรถมหาวิทยาลัยดัง ผู้คนผ่านมาเห็นแตกตื่น โทรแจ้ง จนท.รุดเข้าระงับเหตุ ตำรวจเผยฝ่ายหญิงหลอนกัญชา-จนเพี้ยนขาดสติ
จากกรณีที่โลกโซเชียลมีการแชร์ภาพนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนแก้ผ้าล่อนจ้อน ไม่มีอะไรปกปิดร่างกาย ส่วนฝ่ายชายถอดเสื้อ นุ่งเพียงแต่กางเกงตัวเดียว คล้ายกำลังจะมีเพศสัมพันธ์กัน ที่บริเวณลานจอดรถ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใน จ.เชียงใหม่ จนแม่ค้า ประชาชน และนักศึกษาที่พบเห็น ต่างพากันแตกตื่นตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทำอะไรไม่อายฟ้าดินแบบนี้ หรือเป็นการทำคอนเทนต์” ซึ่งบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่สาธารณะและที่โล่งแจ้ง จากนั้นจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และนำเสื้อผ้ามาให้ทั้ง 2 สวมใส่ และนำตัวส่งโรงพยาบาล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม น.ส.ดาว แม่ค้าขายอาหารตามสั่งใกล้จุดเกิดเหตุ เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. วานนี้ (4 ก.ค.) นักท่องเที่ยวชาวจีนทั้ง 2 คน ได้มาสั่งข้าวผัดที่ร้านตน เอาแต่ข้าวและไข่ ไม่เอาหมู และพากันไปนั่งกินใต้ต้นไม้ใกล้ลานจอดรถ จากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พากันเดินไปที่ใกล้กับกองดิน ฝ่ายหญิงถอดเสื้อผ้าออกหมด และได้พยายามถอดเสื้อฝ่ายชายออก จนเหลือแต่กางเกงขาสั้น ซึ่งฝ่ายหญิงให้ผู้ชายนอนลงและขึ้นนั่งทับ ท่ามกลางสายตาของประชาชนและนักศึกษาที่ขับรถสัญจรผ่านไปมา จึงพากันแจ้งพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ จากนั้นจึงมีการนำผ้าและร่มมาปิดบังร่างกายของนักท่องเที่ยวทั้ง 2 และนำเสื้อผ้ามาให้สวมใส่ ก่อนจะนำรถมารับนำตัวไปส่ง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่
จากการสอบถาม พ.ต.ท.อวิรุทธ์ สุขแย้ม สารวัตรงานสืบสวนกองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า จากการสอบถามนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้ง 2 ราย ทราบว่าช่วงเที่ยงไปสูบกัญชากันมา และมานั่งดื่มเบียร์ คาดว่าฝ่ายหญิงเกิดอาการหลอนจนเพี้ยน เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ไปรักษาอาการที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว โดยทางเจ้าของสถานที่ก็ไม่ได้เอาเรื่อง ส่วนเรื่องอนาจารเป็นเรื่องของตำรวจท้องที่ และขณะนี้นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน ยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ แต่ยังไม่เจอตัว เบื้องต้นทางตำรวจท่องเที่ยวจะเรียกตัวมาทำประวัติไว้ และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์