หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณท์ ชายแดนภาคเหนือเร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้านชายแดนลาว พร้อมส่งมอบข้อมูลผู้หลบหนีหมายจับคดีค้ายาเสพติด
เมื่อ 26 เม.ย66 พลเอกนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณท์ ชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35) ได้ เดินทาง เข้าพบ พันโท ปัญญา แสงวิจิตร รองหัวหน้ากองบัญชาป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดระหว่างประเทศ ที่ กองบัญชาการแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยมีผู้ร่วมคณะประกอบด้วย พันโท พุดสะหวาด สูนทะลา รองหัวหน้ากองการตรวจตราและควบคุมยาเสพติดและนางสาวปุลพร พานิชการ อัครราชทูตที่ปรึกษา ณ เวียงจันทน์ ทั้งนี้ ได้ประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งมอบข้อมูลผู้ หลบหนีหมายจับคดีค้ายาเสพติด และมอบอุปกรณ์ ในการตั้งจุดตรวจ สารเคมีตรวจสิ่งเสพติด และอื่นๆ เพื่อไว้ใช้ปฏิบัติงาน
ส่วนการสู้รบและความไม่สงบในรัฐฉานเหนือส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความสะดวกในการผลิตและลำเลียงยาเสพติดมากขึ้น หากมีความยึดเยื้อจะทำเร่งผลิตเพื่อนำเงินมาใช้สร้างความเข้มแข็งในการสู้รบ ประกอบกับการทดแทนยาเสพติดที่ถูกจับกุม ทำให้มีการเร่งระบายยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลที่หลบหนีหมายจับของประเทศไทยในประเทศเพื่อนบ้านทำหน้าที่รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในไทยและจัดหายาบ้าจากทุกแหล่ง ประสานการลักลอบนำเข้ากับเครือข่ายที่อยู่ในประเทศไทย จากแหล่งข่าวทำให้ทราบและคาดปริมาณยาเสพติดที่พักคอยตามแนวชายแดนตรงข้ามจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ยาบ้าประมาณ 90 ล้านเม็ด และไอซ์ประมาณ 900 กิโลกรัม และจากการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายในการเพิ่มความเข้มข้นการสกัดกั้นปราบปรามยเสพติดในพื้นที่ 11 อำเภอชายแดนภาคเหนือของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ส่งผลให้ได้รับรายงานว่ามีการนำเข้ายาเสพติดผ่านชายแดนด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดพะเยา
อย่างไรก็ตามสำหรับผลการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนธันวาคม2566 จนถึงปัจจุบัน สามารถยึดยาบ้าได้ประมาณ 108 ล้านเม็ด ไอซ์ 1,890 กิโลกรัมเฮโรอีน 230 กิโลกรัม ฝิ่นดิบ 163 กิโลกรัม และอายัดทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 56.2 ล้านบาท