เมื่อวานนี้(26เม.ย.67)นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายวิวัฒน์ เจริญฉ่ำ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 5 และนายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้ นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ และนายนิรันดร ศรีภักดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ,เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 5 ,สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 เชียงใหม่ สนธิกำลังร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่ “หาดก๋ำเบ้อ” ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 2 บ้านป่าข่อยใต้ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้สืบเนื่องจากสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนร่วมกันปรับแต่งพื้นที่และเข้าใช้ประโยชน์ในบริเวณดังกล่าว และได้มีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่นักท่องเที่ยว จึงได้มีการประสานสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ช. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เพื่อร่วมดำเนินการสืบสวนสอบสวน
โดยจากการสืบสวนและลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าดำเนินการปรับแต่งพื้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิง และก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นร้านค้า เพื่อประกอบกิจการร้านอาหารขายอาหาร และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำนวนประมาณ 30 ร้านค้า ซึ่งผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ จำนวน ุ70,000 – 100,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ลูกค้าผู้ใช้บริการจะต้องจ่ายค่าจอดรถและค่าบริการใช้ห้องน้ำ โดยจะมีกลุ่มบุคคลจัดหาเครื่องดื่ม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งดูแลพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว และน่าเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องในการดำเนินการ โดยได้รับผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เบื้องต้นจากการร่วมกันดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อพนักงานสอบสวน ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่จะได้ดำเนินการตรวจสอบ และนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาไต่สวนต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการรื้อถอนและปรับสภาพพื้นที่ให้คงสภาพตามเดิม ซึ่งกรณีในลักษณะนี้ เป็นนโยบายของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ได้ให้ความสำคัญกับกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทำการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ลำน้ำ หรือที่สาธารณประโยชน์แล้วมีการนำไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงใหม่จะได้ดำเนินการตรวจสอบขยายผล และบังคับใช้กฎหมายโดยเด็ดขาดต่อไป
นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เปิดเผยว่า กรณีนี้มีการร้องเรียนไปยัง สำนักงาน ป.ป.ช. เชียงใหม่ ซึ่งหลังจากทราบเรื่องแล้วได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเป็นระยะเวลาหลายวันจนกระทั่งเข้าดำเนินการในวันนี้ โดยจากนี้จะทำการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีเจ้าทีุ่รัฐมาเกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์จะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมาย ตลอดจนต้องทำการสืบต่อไปว่าเงินหรือรายได้ที่เกิดขึ้นมีผู้ใดจัดเก็บและผู้ใดได้รับผลประโยชน์ รวมทั้งรายได้ที่เกิดขึ้นได้นำเข้าสู่รัฐหรือไม่ ส่วนที่มีการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์นั้น ต้องตรวจสอบว่าได้มีการขออนุญาตจากกรมป่าไม้หรือไม่ และเรื่องของการจำหน่ายสุรา หรือเรื่องของการใช้น้ำ จะสืบสวนและขยายผลต่อไปเช่นกัน สำหรับผู้นำท้องถิ่นก็ต้องเข้ามากำกับดูแลไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้น
ด้าน นายนิรันดร ศรีภักดี ผอ. ป.ป.ช.เชียงใหม่ กล่าวว่าเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว แต่การใช้พื้นที่สาธารณะและทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องของส่วนรวมที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะนำเอาไปใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนตัวไม่ได้ ซึ่งในกรณีนี้หลังจากได้รับแจ้งเบาะแสแล้วได้สืบสวนจนเชื่อได้ว่าน่าจะมีการกระผิดและมีผู้ใดผู้หนึ่งได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ จึงนำมาสู่การร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ โดยย้ำว่าทุกอย่างดำเนินการภายใต้กฎหมาย และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วย
ขณะที่ นายพงษ์ธร ชำนิกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกรมเจ้าท่าภูมิภาคจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เบื้องต้นทางเจ้าท่าฯได้มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือ การแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ และการออกคำสั่งให้รื้อถอน โดยทางท้องถิ่นต้องประสานกับทางผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ให้ทำการรื้อถอน ให้พื้นที่กลับสู่สภาพเดิม ซึ่งทราบว่าเวลานี้ทางเทศบาลในท้องที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นอุทธรณ์ ส่วนในปีหน้าต้องมีการพูดคุยกับหลายหน่วยงานเพื่อไม่ให้ไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ขัดขวางการท่องเที่ยว เพียงแต่จะต้องทำให้เหมาะสมและถูกต้องตามกฏหมาย.